ตื้นลึก
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๓ ตุลาคม ๒๕๖๓
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ถาม : เรื่อง “ลูกเห็นหลวงปู่มั่น”
ลูกขอกราบขอขมาพระรัตนตรัย ขอขมาหลวงพ่อ และกราบขอขมาหลวงปู่มั่น หากมีสิ่งใดที่ลูกผิดพลาดไป ลูกขออาราธนาธรรมจากหลวงพ่อเทศน์สอนลูก เพื่อขอโอกาสได้แก้ไขตัวเองต่อไป
คือว่าลูกนั่งสมาธิอยู่ที่บ้านตามปกติ วันนี้คำบริกรรมไม่ต้องฝืนมาก ท่องได้เรื่อยๆ ไม่ส่งออก รู้สึกมีความสุขในใจนิดๆ อยู่ดีๆ ลูกเห็นหลวงปู่มั่นตรงหน้า มีไฟไหม้แบบลุกโชนแรงมาก ไฟนั้นออกมาจากภายในองค์ท่าน ออกทางปาก ทางหูด้วย ด้วยความตกใจลูกเลยลืมตา คลานเข้าไปกราบขอขมาท่านที่หิ้งพระ ลูกมีอาการตัวสั่นและเหมือนจะเหนื่อยอยู่ลึกๆ ไม่ทราบว่าคือดีหรือทำผิดสิ่งใดไป ลูกขอโอกาสได้ฟังธรรมจากหลวงพ่อผู้เป็นร่มโพธิ์และเผื่อว่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ฟังท่านอื่นด้วยครับ
ตอบ : นี่คือคำถามเนาะ คำถามว่า ถ้าเรานอนฝันๆ นอนฝันมันคือเรื่องสุดวิสัย คนเวลานอน เวลามันฝัน ฝันเห็นสิ่งใดไปแล้ว สิ่งนั้นมันเป็นมิติที่ ๕ ที่ ๖ เขาว่ากันไปนะ ถ้ามันเป็นคนที่มีสติสัมปชัญญะพร้อม นี่เวลาเป็นความฝัน
แต่ถ้าเป็นนั่งสมาธิ นั่งสมาธิๆ เรานั่งสมาธิกันเพื่อความสงบของใจ เรานั่งสมาธิกันเพื่อความสุขไง เพื่อความสุขของเรา เรานั่งสมาธิเพื่อบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้าเรานั่งสมาธิ ถ้ามันเป็นสมาธิแล้วเราจะฝึกหัดใช้สติปัญญาเพื่อแก้ไขกิเลสของเรา นี่คือเป้าหมายการนั่งสมาธิ
แต่เวลานั่งสมาธิไปแล้วเวลามันรู้มันเห็นของมันไง เวลามันรู้มันเห็นของมัน สิ่งที่รู้เห็นนี้ เวลาเห็นภาพหลวงปู่มั่น แล้วเห็นหลวงปู่มั่นมีไฟลุกโชนออกมาจากในตัวของท่าน ออกจากปาก ออกทางหู ตกใจมาก คิดว่าเราทำความผิดพลาดสิ่งใด เราไปสบประมาทครูบาอาจารย์อย่างใดมันถึงเกิดอาการแบบนี้
ไม่ใช่
เวลาเราทำความผิดพลาดสิ่งใด ถ้าเราสมประมาทนะ มันเป็นกรรม ติเตียนพระอริยเจ้า สิ่งต่างๆ มันเป็นบาปเป็นกรรมทั้งสิ้น เวลาเป็นบาปเป็นกรรมมันก็ให้ผลเป็นความทุกข์ความยากนู่นน่ะ
แต่ถ้ามันเป็นความจริงๆ ความจริงเวลาคนนั่งสมาธิภาวนาขึ้นมา จิตสงบมันก็แสนยาก จิตสงบ ความสงบระงับอันนั้นน่ะมันเป็นบุญกุศลอันหนึ่ง แล้วถ้ามันรู้มันเห็นสิ่งใด เห็นนิมิตๆ เห็นนิมิตแล้ว ถ้ามันเป็นนิมิตสิ่งที่ว่ามันควรแก้ไขก็ต้องแก้ไข ถ้าเห็นนิมิตแล้วเราวางอันนั้นซะ เรากลับมาที่พุทโธ สิ่งนั้นมันจะดับหมด แล้วถ้าเห็นนิมิตไปแล้ว มันเป็นจริตนิสัย คือมันเป็นเวรเป็นกรรมของสัตว์โลกนั่นแหละ
แต่การเห็นอย่างนี้ การเห็นอย่างนี้เขาบอกเขากลัวมาก กลัวจนตัวสั่น ตกใจมากว่าเราทำผิดพลาดสิ่งใด
แต่ในความเป็นจริงของเรานะ เป็นบุญ การรู้การเห็นต่างๆ มันเป็นบุญกุศล เป็นบุญกุศลนะ เวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติ หรือแนวทางปฏิบัติ แนวทางนะ เขาระลึกถึงองค์พระ ตั้งองค์พระไว้ต่อหน้าแล้วเพ่งองค์พระ เวลาตั้งองค์พระเสร็จแล้วขยายส่วนแยกส่วนองค์พระนั้น ถ้าจิตมันสงบระงับได้ ตั้งองค์พระๆ
แต่เวลาเรานั่งสมาธิ ใครนั่งสมาธินะ ถ้าจิตสงบนะ เห็นพระพุทธรูป บางคนเห็นพระพุทธเจ้า ว่าอย่างนั้นเลยล่ะ แล้วมันเห็นอย่างไรล่ะ
นี่ภาพนิมิตไง ถ้าภาพนิมิต นิมิตคือเครื่องหมายบอกความรู้ความเห็นอันนั้นไง ถ้าความรู้ความเห็นอันนั้นมันเป็นอำนาจวาสนาบารมีของคนถ้ามันรู้มันเห็นนะ มันอยู่ที่ความตื้นลึกหนาบางของคนมากน้อยแค่ไหน
เรื่องความฝันๆ มันย้อนกลับไป ถ้ากรณีอย่างนี้ ถ้าเป็นผู้ที่มีหลักใจแล้ว อย่างนี้มันเป็นการบอกเลยล่ะ บอกว่าหัวใจมันมีบุญกุศลมากน้อยแค่ไหน แล้วมันเจริญเติบโตไปได้อย่างไร ได้อย่างไร
เวลาได้อย่างไรนะ เวลาผู้ที่ประพฤติปฏิบัติใหม่ แม้แต่หลวงปู่มั่นๆ ในประวัติหลวงปู่มั่น ก่อนออกประพฤติปฏิบัติท่านนั่งสมาธิไปแล้วท่านเห็นของท่าน เห็นของท่านนะ ก้าวข้ามขอนภพขอนชาติ ขอนภพขอนชาติ ภพชาติของเราก้าวข้ามได้ ก้าวข้ามไปได้แล้วนะ ไปขี่ม้าขาวเข้าไปถึงตู้พระไตรปิฎก ยังไม่ได้เปิด ถ้าเปิด ยังมีคุณสมบัติมหัศจรรย์กว่านี้อีก เวลาหลวงตาท่านจะออกประพฤติปฏิบัติ
เวลาเราจะออกประพฤติปฏิบัติคือเราปุถุชน ปุถุชนคนหนามันจับต้องสิ่งใดมันเชื่อใจไม่ได้ทั้งสิ้น พอเชื่อใจไม่ได้ทั้งสิ้น มันจะรู้มันจะเห็นสิ่งใดมันก็รู้เห็นแบบโลก ทางวิทยาศาสตร์ นะ ไม่ให้เชื่อความฝัน ความฝันๆ ฝันมันเกิดมาจากไหน ความฝันมันเป็นสิ่งจินตนาการของจิตที่เชื่อถือไม่ได้ นี่ทางวิทยาศาสตร์ไง ทางวิทยาศาสตร์เขาต้องเชื่อเหตุเชื่อผล เชื่อเหตุเชื่อผลมันก็เชื่อเหตุเชื่อผลทางวิชาการนั้น นั่นทางวิทยาศาสตร์
แต่เวลาทางธรรมๆ ทางธรรมหมายถึงกิเลสตัณหาความทะยานอยาก คือสันดานของคน คือจริตนิสัยของคน คือความรู้สึกของคน มันจะเข้าไปสู่จิตอันนั้นไง
มันจะพิสูจน์สิ่งใดล่ะ มันมีลัทธิศาสนาความเชื่อต่างๆ ร้อยแปด มีความเชื่อ ความเชื่อคือความเชื่อ ความเชื่อแก้กิเลสไม่ได้
เวลาพระพุทธศาสนา ศีล สมาธิ ปัญญา มันเป็นความเชื่อหรือไม่ล่ะ มันต้องเป็นการฝึกฝน เวลาจิตของตนให้มีหลักมีเกณฑ์ จิตของตนตั้งมั่น จิตของตน คำว่า “ตั้งมั่น” ไม่ให้กิเลสหลอก ไม่ให้ใครหลอก แล้วถ้ามันเป็นจริงๆ มันจะเป็นจริงขึ้นมาในหัวใจนั้น
เวลาหลวงตาท่านจะออกประพฤติปฏิบัติท่านก็เสี่ยงทาย ถ้าออกไปปฏิบัติแล้วมันจะได้ผลหรือไม่ได้ผล เวลานั่งสมาธิไปให้เป็นภาพนิมิตก็ได้ ถ้าไม่เห็น ให้นอนแล้วฝันก็ได้
เวลาภาวนาแล้วไปนอนฝัน ฝันว่าท่านเหาะลอยไปมหานคร ๓ รอบ อืม! มันเป็นความอบอุ่น เป็นความอุ่นใจว่า เออ! เราก็มีอำนาจวาสนา นิมิต ภาพนิมิตความฝันนั้นก็บอกไว้แล้วว่าเรามีหนทางที่จะไปได้ แต่เวลาไปปฏิบัติสมบุกสมบันเกือบเป็นเกือบตาย เกือบเป็นเกือบตายแต่ก็ชนะกิเลสมาได้ไง
นี่พูดถึงความฝัน เราจะบอกว่า ถ้าเราเป็นปุถุชน เรายังมีกิเลสอยู่ มันไว้ใจเชื่อใจสิ่งใดไม่ได้ แต่ถ้ามันเป็นนิมิต มันเป็นความฝัน มันเป็นเรื่องสุดวิสัยที่ใครจะไปควบคุมได้ เราไม่ได้ตบแต่งเอง เราไม่ได้คิดสิ่งใดเอง มันเกิดขึ้น เกิดขึ้นด้วยบุญอำนาจวาสนาบารมีของตน มันอยู่ที่ความว่าตื้นลึกหนาบางมากน้อยแค่ไหน ถ้ามันลึกซึ้ง ผู้ที่รู้ผู้เห็นต่างๆ อันนั้นก็เห็นโดยภวาสวะ โดยภพ โดยสัญชาตญาณนะ
แต่เวลาครูบาอาจารย์เวลาท่านประพฤติปฏิบัติไปแล้ว ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระโมคคัลลานะนั่งสมาธิอยู่นี่สัปหงกโงกง่วง องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปโดยฤทธิ์ คู้แขนเข้า เหยียดแขนออก ไปถึงที่แล้ว ความเร็วของจิตที่มันเป็นไปได้ การที่ว่ากำหนดจิตแล้วสิ่งที่รู้ได้ นั้นเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไปแล้วมีพื้นฐานความสามารถในใจของท่านที่ท่านทำของท่านได้ อย่างเช่นหลวงปู่มั่น
หลวงปู่มั่นนะ เวลาที่หลวงปู่ฝั้นท่านขึ้นไปกราบท่านที่เชียงใหม่ แล้วไปประพฤติปฏิบัติกับท่านไง อยากจะไปเที่ยวป่า อยากจะไปเที่ยวป่า คิดอยู่ที่นั่นน่ะ
“ไปเที่ยวที่ไหน ไม่ต้องไป ที่นี่ดีที่สุด”
เพราะพระปฏิบัติพอมันเห็นป่าเขา มันเห็นบรรยากาศ แหม! มันน่าไปมากเลย แต่เวลาท่านให้อยู่ใกล้ตัวท่าน ให้อยู่ปฏิบัติกับท่าน มันก็คิดอย่างนั้นน่ะ เช้าขึ้นมาท่านก็เอ็ด “จะไปไหน ที่นี่ดีที่สุด ที่นี่ดีอยู่แล้ว”
เวลาถ้าดีอยู่แล้ว มันก็พยายามกำหนดอานาปานสติ ทำความสงบของใจเข้ามา ทำความสงบของใจเข้ามา แล้วใช้ปัญญาพิจารณาของท่าน เวลาจิตมันลง ท่านบอกเวลาจิตมันลงนะ ลืมตาไป ตาหลวงปู่มั่นจ้องอยู่ตลอดเวลา ลืมตาไป มันจนหมอบ หมอบกราบ หมอบ ไม่กล้า
นี่พูดถึงว่าเวลาครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติไปแล้ว คุณสมบัติของจิตของท่าน ผู้ที่มีอภิญญา เขาทำของเขาได้
แต่โดยปุถุชนๆ ทำอภิญญาได้ไหม ได้ แต่ทำอภิญญาแล้วมันเสื่อมไง คนมีกิเลสนี่มันเสื่อม เพราะมันมีกิเลสในใจคอยยุคอยแหย่คอยหลอกคอยลวง มันคอยเบี่ยงเบนให้ผิดจากความเป็นจริง
แต่เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านประพฤติปฏิบัติไปแล้ว ท่านละกิเลสก่อน ความอยาก ตัณหาความทะยานอยากในใจของตนมันโดนฆ่าโดนทำลายเบาบางลงบ้าง จนถึงที่สุด ทำลายจนตัณหาความทะยานอยากหมดสิ้นไป พอหมดสิ้นไป สิ่งที่มันเป็น ภาษาเราว่า มันจะเป็นธรรมชาติเลย มันเป็นธรรมดาของท่านเลย
ฉะนั้น เวลาหลวงปู่มั่นท่านกำหนดจิตมาดูหลวงปู่ฝั้น ท่านบอกว่าลืมตา เพราะหลวงปู่ฝั้นท่านเล่าให้หลวงตาพระมหาบัวฟัง เพราะว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวของหลวงปู่ฝั้นกับหลวงปู่มั่น
แล้วพวกเรารู้ได้อย่างไรล่ะ
เรารู้เพราะหลวงตาพระมหาบัวท่านสนิทคุ้นเคยกับหลวงปู่ฝั้น แล้วหลวงปู่ฝั้น นี่เวลาธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ การสนทนาธรรมในผู้ที่ประพฤติปฏิบัติ ความสามารถของจิตแต่ละบุคคลที่ได้ปฏิบัติมา นี่คือประสบการณ์ของจิตนะ ทั้งชีวิตนะ แล้วเอามาคุยสนทนาแลกเปลี่ยนกันว่าใครมีความชำนาญมากอย่างไร ใครทำอย่างใด
หลวงปู่มั่นท่านกำหนดจิตดู หลวงตาท่านก็เป็น เวลาอยู่กับหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นกำหนดจิตดูเลย เวลาไปทำข้อวัตร “มหา มหาภาวนาอย่างนั้นหรือ ผิดอย่างนั้นๆ มหาควรวางหัวใจไว้อย่างนี้ ทำอย่างนี้มันจะพัฒนาอย่างนี้”
นี่พูดถึงว่าถ้าครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติของท่าน แล้วท่านมีความสามารถที่จะกำหนดดูกันทางจิต สอนทางจิต มี มี แต่ต้องมีอำนาจวาสนาไง ถ้ามีอำนาจวาสนานะ สิ่งนั้นเป็นการกระทำสิ่งนั้น
นี่พูดถึงว่าในเรื่องของวงกรรมฐาน ในการภาวนา เรื่องจิตที่มันสอนกันโดยนามธรรม มี แต่ส่วนใหญ่แล้วมันจะเป็นเรื่องภายใน แล้วภาษาเรานะ เก็บไว้ลับสุดยอด ครูบาอาจารย์ของเราท่านเก็บไว้ลับสุดยอดเพราะอะไร
ไอ้พวกที่สัญญามาฟังมาจำได้แล้วมันเอาไปอ้างไปอิงว่ามันทำได้ๆ มันก็เอาตรงนี้เป็นหัวเชื้อ ว่ากำหนดจิตอย่างนั้นจะเป็นอย่างนั้น ไม่เป็นหรอก ถ้าคนที่เขาทำได้ เก็บเป็นความลับสุดยอด เงียบ
แต่นี้เวลาหลวงตาพระมหาบัวท่านเขียนประวัติหลวงปู่มั่น เขียนปฏิปทาพระธุดงคกรรมฐานฯ แล้วมันมีตัวจริง มันมีความจริง แล้วถ้าความจริง บุคคลคนไหนเป็นความจริงอันนั้น สิ่งที่เป็นความจริงๆ อันนั้น เอามาเพื่อให้เห็นว่าการประพฤติปฏิบัติมันมีอยู่จริง แล้วจิตมันเป็นไปได้จริงๆ แล้วครูบาอาจารย์ที่ท่านตรวจสอบกันมันเป็นความจริง ถ้าเป็นความจริงอย่างนี้ นี่เป็นเรื่องธรรมดา มันเป็นเรื่องธรรมดาๆ นะ ธรรมดากับผู้ที่ประพฤติปฏิบัติไปแล้วจิตมันมีวุฒิภาวะเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นไป เรื่องอย่างนี้มันเป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องธรรมดาทั้งสิ้น
แต่ย้อนกลับมาที่คำถาม คำถามนี้ “ลูกปฏิบัติอยู่ดีๆ เห็นหลวงปู่มั่นมาอยู่ตรงหน้า มีไฟไหม้แบบลุกโชนแรงมาก ไฟนั้นออกมาจากภายในขององค์ท่าน ออกทางปาก ทางหู ทางหูด้วย ด้วยความตกใจจึงลืมตาขึ้น เข้าไปกราบขอขมาลาโทษที่หิ้งพระ กราบขอขมา ขอขมาว่าเราทำสิ่งใดผิดพลาดหรือเปล่า”
มันไม่ใช่ เห็นไหม ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแสดงยมกปาฏิหาริย์กับพวกเดียรถีย์ ท่านไปยืนของท่านลอยขึ้นไปอยู่บนกลางอากาศ หูข้างหนึ่งน้ำพุ่งออกมา อีกข้างหนึ่งไฟพุ่งออกมา ตาข้างหนึ่งไฟพุ่งออกมา ตาข้างหนึ่งน้ำพุ่งออกมา นี่ไง ยมกปาฏิหาริย์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้าเรารู้เราเห็นอย่างนั้นมันเป็นความรู้ความเห็นที่ว่ามันเป็นว่าหลวงปู่มั่นมาแสดงให้เห็น ถ้านิมิตเห็นอย่างนั้น นิมิตเห็นอย่างนั้นมันเป็นความดีไง มันเป็นความดี
สิ่งที่ว่าเวลาคนที่ประพฤติปฏิบัติถ้ามันยังรู้เห็นไม่ได้ทางจิต นอนฝันถึงครูบาอาจารย์ก็ยังมีความสุขนะ นอนฝันว่าหลวงตาพระมหาบัวท่านมาสอนในฝัน หลวงปู่มั่นท่านมาสอนในฝัน นั่นความฝัน อันนั้นก็เป็นบุญกุศลของตนเอง มันเป็นความปลื้มใจของคนคนนั้นน่ะ
แต่ถ้าเรานั่งภาวนา นี่เขานั่งภาวนานะ ไม่ได้หลับ นั่งภาวนาอยู่ แต่จิตมันดีไง พุทโธได้เรื่อยๆ แล้วมันมีความสุขของใจ ใจมันสงบระงับขึ้นมา มันก็มีภาพหลวงปู่มั่นเกิดขึ้น
เราจะยกตัวอย่างเช่นเวลาแม่ชีแก้ว เวลาแม่ชีแก้วเวลาภาวนาไป แม่ชีแก้วเป็นผู้ที่มีอำนาจวาสนามาก จิตของท่านทะลุปรุโปร่ง มันได้อภิญญามาก่อนที่ท่านจะได้มรรคได้ผลไง นี่มันเป็นนิสัยเดิมของท่าน แล้วพอเป็นนิสัยเดิมของท่าน ท่านก็ติดตรงนั้น ติดความรู้ความเห็นอันนั้นเป็นผู้วิเศษ แต่ยังชำระกิเลสไม่ได้ไง
เวลาหลวงตาพระมหาบัวท่านไปแก้ เพราะท่านก็รู้ว่ามันมีอะไรค้างคาใจอยู่ แต่ตัวเองก็ทำอะไรไม่ได้ ก็ติดในความรู้ความเห็น นรกสวรรค์ต่างๆ ไปเที่ยวไปเห็นไปรู้ไปหมด รู้อดีตอนาคต รู้ของมันอยู่อย่างนั้นน่ะ แล้วมันก็สำคัญตนว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษไง แต่กิเลสยังไม่ได้แก้เลย
เวลาหลวงตาพระมหาบัวท่านไปฟัง อ๋อ! จิตนี้ส่งออก อภิญญาที่รู้ต่างๆ คือการส่งออกทั้งหมด การส่งออกไป กิเลสมันอยู่เบื้องหลัง พอกิเลสอยู่เบื้องหลังมันก็สบายใจ มันก็หลอกออกไปว่าให้ส่งออกไปข้างนอก มันก็ปลอดภัยไง
หลวงตาพระมหาบัวเวลาจะเริ่มแก้ไง ส่งออกสัก ๕๐ เปอร์เซ็นต์ก็ได้ รั้งไว้สัก ๕๐ เปอร์เซ็นต์ได้ไหม
นี่คือการฝึกหัดเริ่มต้น ไม่ให้ส่งออก จิตเป็นสมาธิๆ สัมมาสมาธิคือสัมมาสมาธิ สิ่งที่รู้ที่เห็นเป็นสมาธิแล้วมันส่งออก ส่งออกไปด้วยกำลังของคนที่ใหญ่โตมันก็ส่งออกได้มาก กำลังของคนที่เล็กน้อยก็ส่งออกได้น้อย มันอยู่ที่กำลังของจิตแต่ละบุคคลมันไม่เท่ากัน ถ้ากำลังของจิตของคนไม่เท่ากันมันจะรู้เห็นต่างๆ มันแตกต่างกัน แต่ถ้าแตกต่างกัน มันส่งออก ส่งออกเป็นคุณสมบัติเดิมของเขา
ฉะนั้น เวลาคุณสมบัติเดิมของเขา ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นจริง “รั้งไว้ ๕๐ ก่อนก็ได้ ส่งออกครึ่งหนึ่ง รั้งไว้ครึ่งหนึ่ง”
“โอ๋ย! มันไม่ได้ มันไม่ได้”
เพราะมันเคยตัว ไม่ได้หรอก คนมันเคย โทษนะ สันดานแก้ยาก สันดานของคนมันเคยเป็น แล้วไม่ให้มันทำ มันยากมาก แต่ยากมากมันก็ต้องทำ เพราะอะไร เพราะนี่คือการแก้จิต ถ้าทำไม่ได้ ออกไป ไล่ออกเลย
เวลาไล่ออกไปแล้ว ไปพิจารณาของท่านด้วยตัวของท่านคนเดียวไง เราก็เป็นอยู่อย่างนี้มาดั้งเดิม ไอ้ความรู้ความเห็นต่างๆ เราก็รู้มาดั้งเดิม แล้วมันได้ประโยชน์อะไรขึ้นมาบ้างล่ะ มันเป็นจริงเป็นจังอะไรขึ้นมาบ้างล่ะ ถ้าอย่างนั้นเราก็ลองดูสิว่าท่านสอนอย่างไร ก็ลองทำตามที่ท่านสอนดูบ้างก็ได้ ก็เริ่มรั้งไว้ๆ ไง รั้งไว้ จิตรั้งไว้
ที่เราทำๆ กันเป็นสมาธิไม่เป็นสมาธิยังไม่รู้เลย แล้วจะรั้งอย่างไร เอาอะไรรั้ง
สติรั้งได้ ความรู้สึกเรา เราคิด เรานึกถึง พยายามระลึกให้มันอยู่ ระลึกไม่ให้ความคิดมันพุ่งออกไปข้างนอก พอรั้งไว้ๆ มันเกิดภาพอย่างนี้ เกิดเป็นภาพหลวงปู่มั่นเข้ามานะ ตัวเองนี่นะนั่งอยู่เป็นซากศพ หลวงปู่มั่นเข้ามาเอาไม้มาเขี่ยๆ กายนี้แตกออกหมดเลย แตกออกหมดเลย เหลือแต่หัวใจไว้
เห็นไหม เวลาแม่ชีแก้วเห็น เขาเห็นอย่างนั้น แต่แม่ชีแก้วเห็นอย่างนั้น เห็นเพราะเขามีพื้นฐานของเขา พอเห็น เขามหัศจรรย์ไง พอมหัศจรรย์ขึ้นมา อ๋อ! มรรค ๘ มันเป็นอย่างนี้เอง วิปัสสนามันเป็นอย่างนี้
วิปัสสนาคือมันต้องใช้กำลังของสมาธิแล้วรั้งไว้ รั้งไว้ให้มันเกิดมรรคเกิดผลในตัวของมันเองไง เพราะเกิดมรรคเกิดผลในตัวของมันเอง เห็นกายของตนมันแตกสลายไป มันย่อยสลายไป หลวงปู่มั่นเอาไม้มาเขี่ยๆ ให้ดูเลยด้วย เขี่ยแล้วยังบอกว่า นี่ไงๆ เห็นไหม
พอมันเห็นเข้านะ โอ้โฮ! มันมหัศจรรย์ แต่เดิมส่งออกไปรู้หมดนะ เทวดา อินทร์ พรหมที่ไหนก็รู้ก็เห็น นรกอเวจีไปเที่ยวมาทั้งสิ้น ที่ไหนรู้หมดเลย แต่ตัวเองแก้อะไร ตัวเองรู้อะไร
แต่เวลาย้อนกลับมา รั้งไว้ๆๆ สมาธิไม่ส่งออก รั้งไว้เข้ามามันก็ย้อนเข้ามาภายใน นี่ไง ปัญญาในพระพุทธศาสนาคือทวนกระแสกลับ กลับเข้าไปสู่ใจของตน กลับเข้าไปสู่ต้นเหตุไง ฐีติจิต จิตเริ่มต้น จิตที่มันอยู่ส่วนลึกนั่นน่ะ เวลามันย้อนกลับเข้าไป เวลามรรคมันเกิดขึ้นมา โอ้โฮ! มันมหัศจรรย์ เช้าขึ้นมารีบขึ้นไปกราบท่านเลย
ท่านบอก “ไป ไม่ให้ขึ้นมา”
“เดี๋ยวก่อนๆ ขอเล่าให้ฟังก่อน”
ก็เล่าให้ฟังว่า เวลาไปแล้วมันหมดที่พึ่ง มันแบบว่าทำด้วยตัวเองก็ทำมาตั้งแต่เด็กจนอายุจนป่านนี้ แล้วก็ทำมาด้วยตัวเองทั้งสิ้น หลวงปู่มั่นสอนก็สอนเป็นครั้งเป็นคราว เพราะหลวงปู่มั่นท่านบอกว่ามันเป็นผู้หญิงเข้ามาใกล้ คนเขาติเตียน ถ้าเป็นเด็กผู้ชายนะ ท่านจะพาบวชเณรไปเลย ท่านมองถึงอนาคตรู้เลย แต่นี่เป็นผู้หญิง ปล่อยไว้นี่แหละ ต่อไปอนาคตมันจะมีคนมาแก้เองแหละ สุดท้ายหลวงตาพระมหาบัวท่านก็มาแก้ เวลามาแก้ก็มาเห็นนี่ไง เห็นภาพต่างๆ เห็นภาพแต่ไม่ได้ส่งออกไง
เวลาส่งออกเหมือนเราไปเที่ยว เราไปทัวร์ เราไปทัวร์แล้วต้องเสียเงินซื้อทัวร์ แล้วก็ไปทัวร์กลับมาก็ โอ๋ย! สนุกครึกครื้น เราไปทัวร์ไง แต่มันรั้งไว้ๆ ไม่ไปทัวร์ จะทัวร์ในร่างกายนี้ จะพิสูจน์ในร่างกายนี้ พอมันย้อนกลับมา กำลังมันพิสูจน์ในร่างกายนี้ กายนี้มันเริ่มย่อยสลายลงเลย นี่พูดถึงว่าในการประพฤติปฏิบัติของแม่ชีแก้ว
อันนี้ก็เหมือนกัน เรานั่งสมาธิไปๆ เวลามันเห็นหลวงปู่มั่นผุดขึ้นมาต่อหน้า แล้วเห็นไฟ ไฟพุ่งออกมาจากร่างกายของท่าน
โอ๋ย! ถ้าเป็นเรานะ เราจะนั่งนิ่งๆ เลยนะ ให้ท่านแสดงศักยภาพให้เราเห็นได้มากไปกว่านั้นเลย
นี่พูดถึง แต่เวลามันตกใจไง ตกใจว่า โอ๋ย! เราไปสบประมาทอะไรท่าน เราไปสบประมาท
ถ้าถอนกลับมา ถอนกลับมาที่พุทโธ ถ้ากลัวนะ กลับมาที่พุทโธ
นี่ลุกเลย เนื้อตัวสั่นหมดเลย
นี่มันเป็นพื้นฐาน คนที่ประพฤติปฏิบัติมันที่พื้นฐาน เราได้เคยทำสมาธิมาบ้างหรือไม่ เรามีพื้นฐานของเรามา เราเข้าใจเรื่องอะไรบ้าง ถ้ามันเข้าใจนะ แต่ถ้าคนไม่เข้าใจ เวลาปฏิบัติ โอ๋ย! ไปเที่ยวสวรรค์ ไปเที่ยวนรก ไปเที่ยวอะไร
ไปทำไม มันเป็นไปได้ที่มันรู้มันเห็นอย่างนั้น เพราะอำนาจวาสนาบารมีของคนมันเป็นอย่างนั้น แต่นี่คือต้นทุนนะ ต้นทุนถ้าเราไปอย่างนั้นบ่อยครั้งเข้า หลักใจของเรามันจะเบาบางลงเรื่อยๆ จากภาพที่จริงก็จะเป็นภาพที่กึ่งจริงกึ่งปลอม แล้วถ้ายังไม่สำนึกได้นะ มันจะเป็นภาพจินตนาการแล้วล่ะ มันจะเป็นภาพปลอมๆ แล้วล่ะ เพราะกำลังมันได้ใช้มากไปแล้ว
แต่ถ้าเราไม่ใช้สิ่งนั้น เรากลับมาพุทโธๆ เรากลับมาทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบแล้วกลับมา กลับมาพิจารณา พิจารณาสติปัฏฐาน ๔ เวลามันชำระเป็นชั้นเป็นตอนเข้าไปนะ มันโดยไม่มีกิเลสแล้วนะ สภาพที่ว่าไปรู้ไปเห็น อันนี้เป็นนิสัยเลย มันเป็นมาตรฐานเลย ถ้าเป็นมาตรฐานมันจะเป็นคุณสมบัติของมัน นี่พูดถึงว่าถ้ารู้ถ้าเห็นอย่างนั้น
ฉะนั้น เวลาบอกว่า รู้เห็นสิ่งนี้แล้วมันเป็นความดี หรือมันเป็นสิ่งผิดพลาดของเราที่เราไปทำความเสียหายนั้น
มันเป็นเรื่องของความดี มันเป็นเรื่องสิ่งที่เราประพฤติปฏิบัติแล้วเราเห็นหลวงปู่มั่น
มีครูบาอาจารย์หลายองค์ เวลาท่านประพฤติปฏิบัติ อย่างเช่นที่ว่า หลวงปู่ฝั้น หลวงตาพระมหาบัว หลวงปู่มั่นท่านกำหนดจิตไปดู ท่านกำหนดจิตแล้วมา ท่านดัก ท่านคอยบอก คอยสอน คอยแนะ อันนั้นมันเป็นปัจจุบันเลย
แต่ของเรานี้เราเห็นของเราอย่างนี้ ถ้าภาษาเรานะ มันเป็นสัญลักษณ์ไง สัญลักษณ์ของหลวงปู่มั่นมาแสดงให้ดู หลวงปู่มั่นมายืนให้ดูเลย แล้วเวลาออก ออกเป็นลำแสงเลย โอ๋ย! ตกใจเลย
พอรู้ว่ามันเป็นความดีก็อยากจะได้อีก ถ้าอยากจะได้อีก มันจะได้ไม่ได้มันอยู่ที่วาสนานะ วางสิ่งนี้ไว้ มันเป็นสิ่งที่หลวงปู่มั่นทานมาแสดงให้เราเห็น หลวงปู่มั่นมาแสดงให้เราพบ เพราะคำว่า “แสดง” นี้เพราะเรานั่งสมาธิ สติสัมปชัญญะสมบูรณ์แบบ ไม่ใช่นอน ถ้าฝันก็เป็นเรื่องหนึ่ง ฝันก็เป็นเรื่องพื้นๆ
มันลึกหรือตื้น
ถ้าลึกๆ นะ ครูบาอาจารย์ที่ท่านรู้ในแนวลึกนะ ท่านจะรู้อะไรมากกว่านี้เยอะแยะเลย แต่รู้อันนั้นมันเป็นรู้เรื่องของอภิญญา รู้เรื่องของวัฏฏะ รู้เรื่องของสามโลกธาตุ มันไม่สำคัญเท่ากับรู้กิเลสในใจของตนสำคัญกว่า
อริยสัจ ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์สอนลงที่อริยสัจ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์
อันนั้นมันเป็นอำนาจวาสนาบารมีของคน คือคนเราสร้างบุญสร้างกรรมมามันมีกำลังแตกต่างกันไป ถ้ากำลังแตกต่างกันไปแล้วความชอบของคนก็แตกต่างกันไป ความแตกต่างกันไป เวลาเกิดสิ่งใดแล้วมันก็แตกต่างกันไป
แต่จะแตกต่างมากน้อยขนาดไหน เวลาคนที่จะประพฤติปฏิบัติ อริยสัจมีหนึ่งเดียว แก้กิเลสเหมือนกัน ฆ่ากิเลสเหมือนกัน จะเป็นปัญญาวิมุตติ เจโตวิมุตติ จะเป็นประเภทไหนก็ต้องย้อนกลับมาเข้าสู่หัวใจของตน นี่คือพระพุทธศาสนา
พระพุทธศาสนาสอนทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ สอนมรรค ๘ สอนการกระทำอันนี้ แล้วสิ่งที่รู้ที่เห็นได้มานี้มันเป็นอำนาจวาสนาของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน
จะบอกว่ามันไม่มีไม่ได้ แล้วถ้ามี ถ้ามีเป็นความดีไหม ถ้ามีมันก็เป็นประโยชน์กับตน แต่ถ้าไปติดก่อน มันจะเป็นความดีของเรา มันเลยกลายเป็นการติดไง เป็นการติดที่เราควรจะได้สัจจะความจริง ได้มรรคได้ผลในพระพุทธศาสนา มันเลยไปได้แต่จริตนิสัย คือบุญกุศล บารมีที่สร้างมา นั่นเป็นเรื่องของโลก นั่นเป็นเรื่องของวัฏฏะ ผลของวัฏฏะคือผลของการทำดีทำชั่วมามันให้ผลอย่างนั้นๆ ให้ผลอย่างนั้นเป็นพื้นฐานให้มาประพฤติปฏิบัติให้เข้าถึงอริยสัจ ถ้าเข้าถึงอริยสัจได้ เห็นไหม ฉะนั้น ถ้าเข้าถึงอริยสัจได้ ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์
ทำความสงบของใจเข้ามาแล้วน้อมไปสู่สติปัฏฐาน ๔ กาย เวทนา จิต ธรรม แล้วจับยกขึ้นสู่วิปัสสนา แล้วถ้าวิปัสสนา คือวิปัสสนากิเลสตัณหาความทะยานอยากของตน มันจะเป็นประโยชน์ตรงนั้นไง
นี่พูดถึงว่า ถ้ารู้ถ้าเห็นแล้วนะ สิ่งนี้ผ่านไป มันอยู่ที่อำนาจวาสนาของคนที่ใครรู้ใครเห็นสิ่งใด ถ้ารู้เห็นอย่างนี้ ครูบาอาจารย์บางองค์ หลวงปู่มั่นท่านมาสอนเลย เวลาสอนมันเหมือนกับการโต้ตอบกันเลยล่ะ ให้ทำอย่างนั้น ไอ้นี่สงสัยก็ถามอย่างนั้น มี แต่เป็นเรื่องส่วนตัวของท่าน ถ้าเป็นผู้ที่ประพฤติปฏิบัติเป็นพระกรรมฐาน ในวงกรรมฐานนะ ท่านเก็บลับ เก็บไว้ในใจ เวลาจะพูดก็พูดกับครูบาอาจารย์ที่เป็นธรรมๆ ถ้าเป็นธรรมท่านฟังได้ ท่านเข้าใจได้ แล้วมันเป็นข้อเท็จจริง
เอตทัคคะ ๘๐ องค์ไม่เหมือนกันตรงนี้ ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติมามันก็ไม่เหมือนกันตรงนี้ มันไม่เท่ากันตรงนี้ แต่อริยสัจมีหนึ่งเดียว อริยสัจมีหนึ่งเดียว เวลาชำระกิเลสเหมือนกันหมด ถ้าชำระกิเลสต้องเป็นสมุจเฉทปหาน ชำระล้างสังโยชน์ ปลดล็อกสังโยชน์ออกจากใจทั้งหมด เวลากิเลสขาด ดั่งแขนขาด เป็นชั้นเป็นตอนเข้าไป
นี่พูดถึงว่าข้อเท็จจริงนะ มันตื้นลึกแตกต่างกัน แล้วเวลาที่เห็น ยกขึ้นมาให้เห็นว่า ถ้าเป็นความฝัน ถ้าฝันเป็นมงคลก็เรื่องหนึ่ง ถ้าเป็นความฝันตื้นๆ ฝันว่าหลวงปู่มั่นก็ได้ มีคนฝันถึงหลวงปู่มั่น มีคนเห็นหลวงปู่มั่นเยอะแยะไปหมด
แล้วเวลานั่งสมาธิ ถ้าเห็นแบบนี้ เห็นแล้วมันยังมีแบบว่ามีไฟ มีพลังงานเปล่งประกายออกมาจากตัวของท่าน
ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะนั่งเฉยๆ แล้วดูนะว่าหลวงปู่มั่นท่านจะมาเตือนอะไรเรา หลวงปู่มั่นท่านจะมาบอกอะไรเรา แล้วถ้าสิ่งที่รู้เห็นแล้วมันก็เป็นมงคลกับผู้ที่รู้เห็นแล้ว แล้วถ้ามันจะไม่เห็นอีกมันก็ไม่เป็นปัญหา สิ่งนี้มันเป็นขวัญและกำลังใจของผู้รู้ผู้เห็นนั้น แล้ววางไว้ ไม่ต้องไปตกใจ
สิ่งที่ตกใจๆ มันมีอยู่ ๒ อย่าง เพราะเรามีศรัทธาความเชื่อใช่ไหม เราคิดว่ามันเป็นการสบประมาทท่านหรือไม่ ท่านถึงมาแสดงภาพอย่างนี้ให้เราเห็น
เราไม่ได้สบประมาทท่าน เราเคารพบูชาท่าน แล้วถ้ามาเห็น ท่านก็ไม่ได้มาเห็นแบบมาลงโทษ ท่านมาให้เห็นถึงคุณธรรมไง ถ้ามองรูปหลวงปู่มั่น แสงพลังงานนั้นคือความสะอาดบริสุทธิ์ คือความจริงในใจของท่าน เราก็พยายามทำให้เราเกิดได้เป็นอย่างนี้บ้าง
นี่พูดถึงว่า สิ่งที่รู้ที่เห็นนี้เป็นมงคล ไม่ใช่เป็นโทษ แต่อย่าไปติดมันนะ อย่าไปอยากรู้อยากเห็นจนเป็นทุกข์เป็นยาก มันปั้นแต่งไม่ได้ เวลามันเป็น มันเป็นโดยปัจจุบัน มันมาโดยข้อเท็จจริง เราจะไปปั้นไปแต่ง ไม่เป็นอย่างนั้น ถ้าปั้นแต่ง เป็นกิเลสแล้ว เป็นความอยากแล้ว เป็นความต้องการของเราแล้ว อันนั้นไม่ทำ
เราทำสมาธิของเราไป เราทำความสงบของใจเราต่อเนื่องไปแล้วฝึกหัดต่อเนื่อง แล้วจะได้รู้เห็นอีกหรือไม่แล้วค่อยว่ากันต่อไปนะ จบ
ถาม : เรื่อง “กราบขอขมาครับ”
การนั่งสมาธิทำไมทรมานมากครับ เป็นไปได้อย่างไรครับที่จะสามารถนั่งได้ทั้งคืนครับ
ตอบ : นี่คือคำถามเนาะ สิ่งที่ว่านั่งสมาธิมันทรมานมากครับ
ใช่ มันเป็นการจับลิงมามัดไว้ จิตใจของคนโดยธรรมชาติของมัน มันคิดได้ร้อยแปดพันเก้า มันเป็นอิสระทั้งนั้นน่ะ แล้วเรามานั่งสมาธิเราก็บังคับมันให้มันสงบไง แล้วให้สงบโดยวิธีการของเรา เรายังทำของเราไม่ได้ มันแสนจะทรมาน
คนไม่เคยนั่ง แค่มารยาทเด็กๆ สอนให้มันนั่ง มันยังนั่งไม่ได้เลย แล้วเรา เราจะนั่งเพราะอะไร เราจะนั่งเพราะว่าเราจะปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราจะค้นคว้าหาพุทธะในใจของเราไง แล้วถ้าค้นคว้าพุทธะในใจของเรา เรามีเจตนา มีความตั้งใจ เวลานั่งไปก็ทรมานอย่างนี้ คนนั่งใหม่ๆ เป็นทุกคนน่ะ ทำอะไรก็ทำได้ โอ๋ย! งานทุกอย่างทำได้หมดเลย ให้นั่งเฉยๆ นั่งไม่ได้
หลวงปู่ฝั้นท่านพูดบ่อย งานอะไรก็ทำมาแล้วทั้งสิ้น เวลาให้นั่งเฉยๆ นั่งไม่ได้ นั่งไม่ได้ นั่งไม่ได้เพราะอะไรล่ะ
นี่ไง หยาบ กลาง หรืออย่างเบาบาง ถ้ามันเป็นไปได้ให้มันเป็นไปได้
ฉะนั้นบอกว่า แล้วเป็นไปได้อย่างไรที่จะนั่งได้ตลอดทั้งคืน
เวลาเริ่มต้น เวลานั่งไม่เป็นก็ทรมานมาก เวลามันนั่งเป็นแล้วนะ นั่งทั้งวันทั้งคืนๆ คนที่นั่งได้มันนั่งได้อยู่แล้ว แต่ไม่ใช่เป็นการประกวดว่าจะต้องนั่งทั้งคืน จะนั่งห้านาทีสิบนาที ชั่วโมงนึง สองชั่วโมง จะเดินจงกรมกี่ชั่วโมง มันเป็นความถนัด มันไม่ใช่จำเป็นว่าจะต้องนั่งทั้งคืน
มันมีคนมีความพยายามที่จะนั่งตลอดรุ่งๆ หลายๆ คนที่พยายามกระทำนะ พยายามกระทำ พยายามกระทำมันก็เป็นพยายามกระทำอันหนึ่งไง แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่ นั่นเป็นความเพียรๆ
ความจริงเรานั่งมากน้อยแค่ไหนก็ได้ ถ้าจิตมันสงบเป็นสมาธิได้ พอ แล้วถ้านั่งสงบแล้วเรายกขึ้นสู่วิปัสสนาได้
แล้วสิ่งที่ว่าเวลานั่งสมาธิทำไมมันทรมานมากขนาดนี้
ทรมานมากเพราะไม่เคยทำไง คนที่ทำงานจนชำนาญแล้วเขาทำง่ายๆ ไง ดูคนขับรถสิ มันใช้นิ้วหมุนน่ะ โอ๋ย! มันคุม มันนั่ง ความชำนาญของเขา
นี่ก็เหมือนกัน เวลาคนที่เขานั่งสมาธิๆ ถ้าเขานั่งเป็น นั่ง ทำแล้วได้ผล เขาชำนาญของเขา ไอ้นั่งทั้งคืน หลวงตาท่านทำเป็นประจำ ทำเป็นประจำนี่ไม่ใช่ทำอวดใครนะ ทำเพื่อจะชำระล้างกิเลส
คนเราเกิดมาปรารถนาความสุขทั้งนั้นน่ะ มันอยากสะดวกอยากสบาย อยากจะนอนตีแปลง อยากจะทำอะไรด้วยความสะดวกของเราอิสรภาพ แล้วเวลาคนมาภาวนาบอกว่ามันจะได้บุญตรงไหน
ก็ได้บุญตรงนี้แหละ บุญกิริยาวัตถุ เรามีสิทธิเสรีภาพจะทำอะไรก็ได้ เราเสียสละบูชาพระพุทธเจ้า นี่เราเสียสละบุญ เสียสละความอิสรภาพของเราบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บูชาเพื่อจะค้นคว้าหาพุทธะในใจของเรา แล้วถ้ามันฝึกหัดได้ตามเป็นจริงมันจะมีความสุขมาก จากที่ว่าทุกข์ๆ นี่แหละ มันจะมีความสุขเลยล่ะ
ฉะนั้นถึงว่า การนั่งสมาธิทรมานมาก
ทรมาน ทรมานสำหรับคนไม่เป็น คนไม่เคย
อย่างเรานี่เกณฑ์เลย ทำสวน ชักร่องทำสวน ไม่เคยทำ ไปขุดนี่มือแตกหมดน่ะ มือไม้แตกหมดนะถ้าคนไม่เคยทำ ชาวสวนเขายิ้มๆ เลย เขาทำทุกวัน ชาวสวนเขาลอกร่องของเขา เขาทำเป็นงานประจำปีของเขา ไอ้เราลงไปเกณฑ์ไปสิ โอ้โฮ! มือเท้าแตกหมดน่ะ แล้วทำเสร็จแล้วเขามานะ อู๋ย! เสียเวลา ทำไม่ได้ผลอีกต่างหาก
นั่งสมาธิเหมือนกัน เราไม่เคยทำไง จะบอกว่านั่งสมาธินี้ทรมานมาก นี่คำถามนะ
มันฟังแล้วมันสงสาร แต่เราก็เคยเป็นแบบนี้ เราฝึกหัดนั่งใหม่ๆ เรานั่งนะ หลับตา นึกว่า ๕ ชั่วโมง ลืมตามา ๒ นาที เวลานั่ง เพราะใหม่ๆ ใหม่ๆ เราก็เป็นวัยรุ่นนะ หัดภาวนา ใหม่ๆ เราก็หัดนั่งเอง กลางคืนก็นั่งสมาธิ ก็คิดว่าตัวเองทำได้ โธ่! มาสมัยนี้ย้อนกลับไปแล้ว เออ! เด็กเล่นขายของ แต่มันก็เป็นวุฒิภาวะที่คนมันเจริญเติบโตมามันก็เป็นแบบนี้แหละ
มันทรมานมากไหม ก็ทรมาน ถ้าคนมันสร้างบุญกุศลมานะ การทรมานมันก็เบาบางลงบ้าง แต่ถ้ามันไม่ได้สร้างบุญกุศลมา เราก็ต้องมาสร้างตอนนี้ไง เราก็ต้องมาสร้าง มาสร้างของเรา มาทำปฏิบัติของเราให้มันพอใจ ถ้ามันเห็นคุณเห็นประโยชน์ มันทำของมันได้ แล้วถ้าเห็นคุณเห็นประโยชน์เขาทำได้ต่อเนื่องนะ นั่งได้เวลายาวขึ้น ดีขึ้น แล้วเอาชนะกิเลสของตน เอาชนะความคิดน่ะ
เวลานั่งแล้วความคิดมันต่อต้าน ความคิดมันร้อยแปด พุทโธไม่ได้น่ะ พุทโธๆ คือเอาชนะมันไง สติสัมปชัญญะบังคับ พุทโธๆ พุทโธจนมันกลมกลืน ไอ้ที่ต่อต้านเบาแล้ว ไอ้ต่อต้านน้อยลงแล้ว พอที่ต่อต้านน้อยลง
ทางการแพทย์ไง นั่งสมาธิไม่ได้เพราะว่าเลือดลมมันเดินไม่ได้ มันไปทับแขนขา แล้วคนนั่งตลอดรุ่งล่ะ เวลาคิดทางวิทยาศาสตร์ไม่ได้ทั้งนั้นน่ะ ทำอะไรก็ไม่ได้ แต่เวลาคนไปทำแล้วมันได้ล่ะ
มันทำได้ มันทำได้ ถึงเวลาทำได้ต้องเป็นการฝึกหัด มันต้องมีการฝึกหัด นี่ไง พระบวชใหม่มามีข้อวัตรปฏิบัติ ฝึกหัด ฝึกหัดให้ได้จริต ให้ได้นิสัย แล้วเวลาทำขึ้นไปนะ เช่น ถ้าไปอยู่กับหลวงปู่ชอบ หลวงปู่ชอบท่านเดินจงกรมเก่งมาก ไปเห็นท่านทำก็ทำตามท่าน มันก็เลยได้นิสัยชอบเดินจงกรมมา
นี่มันอยู่ที่การฝึกหัดของเรา ถ้าฝึกหัดของเรานะ ไอ้ที่ว่าทรมานมาก มันจะกลายเป็นสุขมาก
การทรมานมากนี่คือต้นทุน แล้วถ้าจิตมันสงบได้นะ มันจะเป็นความสุข ถ้าความสุขเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาจากใจมันปลอดโปร่ง ใจมันเป็นสมาธิไง
แล้วถ้านั่งสมาธิทรมานมาก แล้วเป็นไปได้อย่างไรจะนั่งได้ตลอดทั้งคืน
เขาทำกันได้ เขาทำกันมาแล้ว แต่ต้องเป็นคนที่มีวาสนาเขาทำของเขาได้
นี่ของเรา ถ้าเราอยากได้บุญกุศล อยากได้ทำคุณงามความดี เราก็ตั้งใจเจตนาที่ดีงาม แล้วฝึกหัดของเราๆ ถ้านั่งไม่ได้ก็เดินจงกรม ยืนก็ได้ ยืน เดิน นั่ง นอน กำหนดพุทโธๆ จิตมันสงบ สงบที่จิต นั่งก็นั่งที่เอาจิตสงบ เดินก็เดินจิตสงบ นอนก็นอนจิตสงบ ถ้าจิตมันสงบได้ นั่นคือสัมมาสมาธิ
แล้วสุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี จิตของเราถ้ามันสงบระงับมีความสุขมาก ความสุขนั้นเกิดจากข้อเท็จจริง ไม่ได้ซื้อขาย ไม่ได้แสวงหามาจากไหน แสวงหามาจากใจของตน
นี่พูดถึงว่า นั่งสมาธิมันทรมานมาก เป็นไปได้อย่างไรที่คนจะนั่งได้ทั้งคืน
อันนี้เพิ่งฝึกหัดใหม่ เวลาเราอ่านหนังสือ เราฟัง อู้ฮู! มันมหัศจรรย์เนาะ เขาทำกันอย่างนั้น เราลองดูบ้างไง ทรมานมาก ทำอะไรไม่ได้เลย
แล้วหลอกกันมาทรมานนะ ความสุขก็ไม่เคยสอนนะ ให้หาความสุข ให้หาแต่ความทุกข์ ให้มาทรมาน...ไม่ใช่
ไอ้ความสุขอย่างนั้นยิ่งเสพติดมาก ผลของมันจะเป็นความทุกข์ข้างหน้า เรามานั่งของเรา เราทรมานของเรา เหมือนคนเข้าฟิตเนสใหม่ๆ ออกกำลังกาย ออกอยู่นั่นน่ะ ออกอยู่นั่นน่ะ ได้อะไรมา สุขภาพแข็งแรง
นี่ไง นั่งสมาธิๆ ที่มันทรมานมากๆ แต่ทำบ่อย ต่อเนื่องไป เดี๋ยวหัวใจแข็งแรง สุขภาพจิตดี ถ้าสุขภาพจิตดีนะ ไอ้นั่งทั้งคืนนี่สบายๆ ถ้าทำได้นะ แต่ไม่จำเป็นหรอก ไม่ใช่จุดขาย
เวลาที่หลวงตาท่านเทศน์บ่อยว่านั่งตลอดรุ่งๆ คือท่านทำมาแล้วมันฝังใจ คนที่ปฏิบัติมาท่านผ่านวิกฤติอะไรมาแล้วมันฝังใจ เวลาเทศน์มันออกมาเรื่อยแหละ เวลาใครผ่านอะไรมา เวลาเทศน์ ไอ้ประสบการณ์ที่มันเคยทำมามันจะออก เพราะอะไร เพราะมันเป็นอย่างนี้ ทำอย่างนี้ๆ มันจะได้อย่างนี้ๆ มันจะออก ออกมา
ฉะนั้น เวลานั่งตลอดรุ่งคือท่านทำมาต่อเนื่อง แต่หลวงปู่มั่นท่านก็ยับยั้งไว้ว่า ม้า ม้าที่มันดื้อเขาก็ไม่ให้อาหาร ไม่ให้น้ำมัน แต่พอมันเชื่อฟังบ้าง เขาก็ให้มันกินบ้าง แล้วถ้ามันอยู่ในโอวาท มันพูดรู้เรื่อง เขาก็เลี้ยงมันธรรมดา
นี่ก็เหมือนกัน ท่านเตือนไง ท่านเตือนว่าร่างกายสมบุกสมบันมันมากเกินไป ถ้าสมบุกสมบันมากเกินไป เราจะต้องใช้งานของเราไปอีกนะ ใช้แต่ความพอดี นี่เวลาท่านเตือน
แต่คนที่มันได้ผลแล้วมันมุมานะ มันอยากได้ มันทุ่มทุนไง ลงทุนลงแรงเทหมดหน้าตัก สู้เต็มที่เลย นั่งตลอดรุ่ง เอาชนะมันเป็นครั้งๆๆ มา แล้วมันชนะแล้วมันย่ามใจ นี่เวลาชนะไง ชนะกิเลส ชนะความมักง่าย ความไม่เอาไหน ความโลเลของเรา ชนะหมด พอชนะแล้วก็ทำต่อเนื่องมาๆ จนเป็นครูบอาจารย์ของเรา
ฉะนั้นบอกว่า การนั่งสมาธิทรมานมาก แล้วถ้ามันนั่งทั้งคืนมันจะทำได้อย่างไร
ทำได้อย่างไรอยู่ที่อำนาจวาสนาบารมีของคนที่ท่านทำของท่านได้ แต่ผู้ถามเนาะ ฝึกหัด แล้วไม่จำเป็นต้องนั่งตลอดรุ่งหรอก ถ้านั่งขนาดนี้ทรมาน แล้วนั่งตลอดรุ่งมันจะขนาดไหน ก็เลยแหยงไง ก็เลยไม่อยากทำไง มันไม่กล้าทำคุณงามความดีไง
ทำสิ่งนี้ได้คุณงามความดีนะ ทำทานร้อยหนพันหนไม่เท่ากับทำสมาธิได้หนหนึ่ง ทำสมาธิได้ร้อยหนพันหนไม่เท่ากับเกิดปัญญาหนหนึ่ง
เวลาเกิดปัญญา เกิดปัญญาการภาวนามันถึงได้บุญกุศล ได้บุญกุศลเพราะอะไร มันสอนให้ใจมันฉลาด สอนให้คนเราฉลาด ฉลาดอะไร ฉลาดในอารมณ์ ฉลาดในตัวเราเอง ไม่ติดตัวเราเอง ไม่ติดคนอื่น
เพราะติดตัวเองนะ อีโก้มันเต็มที่เลยว่าจะกดเขา แต่ถ้ามันไม่มี จะไปกดใคร เขาก็ยอดเยี่ยมของเขา ถ้ามันเท่าทันตัวมันเองมันจะเกิดความสุข เกิดความดีงามในใจอันนี้
ฉะนั้นบอกว่า ถ้ามันทรมานก็ฝึกหัดเท่านั้นแหละ ถ้าพอมันทำได้ มันชำนาญแล้ว ไอ้การทรมานมันมีความรับรู้ตลอดไป แต่มันไม่ใช่ทรมานแล้ว มันเป็นความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะ มันเป็นความเพียรชอบ ถ้ามันชอบธรรมแล้วมันจะเกิดประโยชน์ในการประพฤติปฏิบัติ เกิดประโยชน์กับเรา มัชฌิมาปฏิปทา สมดุล สมควร พอดีกับการกระทำนั้น ไม่ทรมานจนเกินไป เอวัง